หลุมสิว อีกหนึ่งปัญหาผิวที่พบได้บ่อยในกลุ่มผู้ที่มีสิวอักเสบ เนื่องจากสิวอักเสบเกิดจากผิวหน้ามีสิ่งสกปรกตกค้างในรูขุมขนผสมกับติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เชื้อดังกล่าวรวมกับสิ่งสกปรกที่ตกค้าง จนกลายเป็นสิวอุดตันในระยะแรก หากไม่มีการรักษาที่ถูกวิธีจะส่งผลให้เกิดสิวอักเสบ บวมแดง มีหนองกัดกินเนื้อเยื่อบริเวณนั้น จึงเกิด หน้าเป็นหลุม ผิวหน้าไม่เรียบเนียนจนขาดความมั่นใจในตนเอง สำหรับผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวแล้ว ต้องการรักษาหลุมสิวด้วยวิธีที่ได้ผลดี ซึ่งรักษาที่ดี ก็ไม่ได้มีเพียงแต่เลเซอร์รักษาหลุมสิวเท่านั้นนะ สามารถศึกษารายละเอียดได้ ที่นี่
รอยหลุมสิว หรือ Atrophic Scars เป็นรอยแผลของสิวอักเสบหลังถูกรักษาและยุบตัวลง ซึ่งการรักษาสิวอักเสบ บางครั้งรักษาผิดวิธีหรือช้าเกินไป ทำให้เชื้อโรคได้ทำลายผิวหนังชั้นในบริเวณนั้นไปแล้ว แม้สิวจะหาย ทว่าผิวหนังถูกทำลายไปบางส่วน ประกอบกับผิวไม่สามารถรักษาตัวเองให้กลับมาเหมือนเดิมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้หลายคนที่มีปัญหาสิวอักเสบ มักมีภาวะของหลุมสิวตามมาได้เยอะมาก จนเกิดความกังวลใจ ขาดความมั่นใจในตนเอง
หลุมสิว หรือที่หลายคนมักจะเรียกว่า รอยหลุมสิว เกิดจากสิวอักเสบที่ทำลายผิวหนังชั้นใน เมื่อรักษาสิวอักเสบไปแล้ว แต่ผิวหนังชั้นในถูกทำลายไปบางส่วน ร่างกายจะใช้เวลาประมาณ 10 วันในการซ่อมผิวหนังบริเวณที่เป็นหลุม ซึ่งการซ่อมแซม ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนออกมา เพื่อทำให้โครงสร้างของผิวกลับมาสมานเหมือนเดิม หากกระบวนการนี้เกิดการผิดพลาดหรือมีการสร้างคอลลาเจนไม่เพียงพอ ก็อาจทำให้เกิดหลุมสิวตามมาได้
เพื่อน ๆ รู้ไหมว่าจริง ๆ เราสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดสิวได้นะ เพียงแค่เราดูแลจัดการกับปัญหาสิวตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ให้กระบวนการหายของสิวเกิดขึ้นเร็ว ลดการอักเสบ จะช่วยป้องกันการเกิดหลุมสิวได้ หากใครกำลังมองหาตัวช่วยในการลดการอักเสบของสิว เรามีรีวิวไอเทมเจลแต้มสิวมากฝาก (คลิกที่นี่เลย)
ในส่วนของสิวอักเสบที่ส่งผลให้เกิด รอยหลุมสิว ได้ อย่างที่หลายคนทราบว่าสิวชนิดดังกล่าวมีประเภทมาก ๆ ทว่าประเภทที่ควรระวัง เพราะเป็นสาเหตุของการเกิดหลุมสิวมากที่สุด มี 3 แบบ ดังนี้
ลักษณะของหลุมสิวเป็นที่เด่นชัดมาก เนื่องจากผิวที่เกิด รอยหลุมสิว จะไม่เรียบเนียน เป็นหลุมเป็นบ่อ ขรุขระ ใช้สายตามองจะเห็นชัดเจน ซึ่งความรุนแรงของหลุมสิวแต่ละคนแตกต่างกัน บางคนเกิดเฉพาะจุด เพราะรักษาได้ทันเวลาและถูกวิธี ทว่าบางคนมีหลุมสิวทั่วทั้งใบหน้า ควรได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
วิธีรักษาหลุมสิวในปัจจุบัน แม้นวัตกรรมจะล้ำสมัยมาก ทว่าแพทย์จะไม่รักษาให้ผู้ที่มีปัญหาดังกล่าวทันที แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะประเมินตามประเภทของหลุมสิวก่อน เพื่อรักษาให้ถูกต้องตรงจุดมากที่สุด โดยจะเริ่มการรักษาหลังจากที่สิวหายแล้วเท่านั้น ซึ่งประเภทของหลุมสิวมี 3 ชนิดใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น เลเซอร์รักษาหลุมสิว ผ่าตัดผังผืด ฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว เมโสหลุมสิว ดังนี้
ในส่วนของการรักษาหลุมสิวต่าง ๆ แพทย์จะนิยมใช้การเลเซอร์ การตัดพังผืด ฉีดฟิลเลอร์ และการฉีดเมโส สำหรับผู้ที่ต้องการความรู้ในเรื่องของการรักษาหลุมสิวเพิ่มเติม มีรายละเอียดดังนี้
การเลเซอร์หลุมสิว หรือ Laser เป็นวิธีการรักษา หน้าเป็นหลุม ที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบัน เพราะเป็นวิธีที่เห็นผลลัพธ์ได้ดีที่สุด รวดเร็วทันใจมากที่สุด เนื่องจากการยิงเลเซอร์เป็นการยิงคลื่นรังสีเข้าไปกระตุ้นการสร้างของคอลลาเจนในบริเวณแบบตรงจุดนั้นเอง ทว่าแพทย์ผู้ทำการรักษาจะประเมินชนิดของหลุมสิวก่อน เพื่อเลือกเลเซอร์ที่เหมาะสมที่สุด โดยตัวเลเซอร์รักษาหลุมสิว ที่ใช้รักษาบ่อยที่สุด คือ Fractional Co2 Laser และ pico laser
เหมาะกับปัญหาผิว:
ความถี่ในการทำ :
เลเซอร์หน้าขาวใส แนะนำให้ทำทุก ๆ 2 อาทิตย์
เลเซอร์หลุมสิว จะแนะนำให้ทำต่อเนื่อง 3 ครั้งขึ้นไป แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัญหาสภาพผิวที่มีด้วย โดยจะเว้นประมาณ 2-4 สัปดาห์ทำครั้ง
ทำหัตถการราคาพิเศษ ดูโปรโมชั่นที่ Gowabi คลิกเลย
เลเซอร์รักษาหลุมสิว จะนิยมทำสำหรับหลุมสิวที่ไม่ลึก และไม่กว้างมาก แต่ถ้าหากมีรอยสิวที่ใหญ่กว่านั้น อีกหนึ่งวิธีสำหรับการรักษาก็คือ การผ่าตัดพังผืด หรือ subcision ในกระบวนการรักษาแพทย์จะนำเข็มที่มีขนากเล็กมาก ๆ เจาะลงไปในชั้นผิวที่มีพังผืดเกาะอยู่แล้วทำการตัดทิ้ง ให้พังผืดที่ยึดรั้งผิวหนังให้เป็นหลุมลงไปหลุดออก ผิวหนังจึงค่อย ๆ คลายกลับคืนสู่สภาพเดิม ซึ่งวิธีการรักษาแบบนี้ แพทย์จะใช้กับผู้ที่มี รอยหลุมสิว ทั่วทั้งใบหน้าหรือกระจายเป็นบริเวณกว้าง เพราะเห็นผลไว ไม่ต้องครั้งเดียว ผลเริ่มดีขึ้นทั้งใบหน้าที่มีปัญหาผิวดังกล่าว
เหมาะกับปัญหาผิว: ผู้ที่มีหลุมสิว rolling scar และ box car หรือแผลเป็นที่มีขอบชัดและมีขนาดลึก
ความถี่ในการทำ : ทำครั้งเดียวเห็นผล แต่ต้องดูรักษาอย่างเป็นพิเศษ ต้องมีระยะพักฟื้น
ฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว หรือ Fillers injection เป็นอีกหนึ่งวิธีที่แพทย์นิยมใช้บ่อยมากในการรักษาหลุมสิว เพราะเห็นผลลัพธ์ไว้ชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำเลย โดยการรักษาแพทย์จะฉีดสารเติมเต็มที่ชื่อว่า ไฮยาลูโรนิค แอซิด ลงไปบริเวณหลุมสิวแต่ละจุด จนผิวใบหน้ามีความเรียบเนียนสม่ำเสมอกัน และสารที่ฉีดลงไป สามาระกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่รักษาอาการ หน้าเป็นหลุม ได้เร่งด่วนที่สุด
เหมาะกับปัญหาผิว: เหมาะกับผู้มีปัญหาหลุมสิวไม่มาก หรือเป็นจุด ๆ โดยสามารถรักษาได้ดีในกลุ่มผู้มีปัญหาหลุมสิวระดับ Rolling scar และ Box Scar สำหรับ Ice Pick Scar ก็สามารถรักษาได้ แต่ต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ เพื่อตัดเซาะ ผิวผังฝืด
ความถี่ในการทำ : เห็นผลชัดเจนเมื่อทำติดต่อกัน 3-5 ครั้ง โดยเว้นระยะในการทำแต่ละครั้ง 36 สัปดาห์ เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่หลุมสิว
ทำหัตถการราคาพิเศษ ดูโปรโมชั่นที่ Gowabi คลิกเลย
การฉีดเมโส ซึ่งแพทย์จะเรียกอีกอย่างหนึ่งมาว่า มาเด้คอลลาเจน ซึ่งมาเด้คอลลาเจนในต่างประเทศดังมานาน ทง่าในไทยเพิ่งจะมานิยมในช่วงหลัง ๆ นี้ โดยมาเด้ในหนึ่งเซตมี 2 ขวดเป็นเมโสลดรอยและวิตามินในการบำรุงผิวและฆ่าเชื้อสิวได้ เมื่อฉีดเมโสดังกล่าวลงไป สารจะกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนและลดรอยแดงต่าง ๆ ทำให้ รอยหลุมสิว ตื้นขึ้นพร้อมคืนสภาพผิวที่แข็งแรงให้อีกด้วย
เหมาะกับปัญหาผิว: ผู้ที่มีรอยดำจากสิว จุดด่างดำ ฝ้า กระ ผิวหน้าหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ
ความถี่ในการทำ : หลังฉีด 3 เริ่มเห็นผลและจะเห็นผลเต็มที่ประมาณ 7-14 วัน ซึ่งในระยะแรกของการทำเมโส จะฉีดอาทิตย์ละครั้งใน 1 เดือนแรก และหลังจากนั้นจะฉีดทุก 2 อาทิตย์เพื่อคงสภาพ และเมื่อสภาพผิวดีแล้ว สามารถเว้นระยะได้ 6 เดือนครั้ง
ทำหัตถการราคาพิเศษ ดูโปรโมชั่นที่ Gowabi คลิกเลย
รอยหลุมสิว เป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากสิวอักเสบทำลายชั้นผิวหนังชั้นใน ลักษณะของหลุมสิวจะเป็นบ่อลึกและกว้างกระจายทั่งบริเวณที่มีปัญหา ทำให้ใบหน้าไม่เรียบเนียน ขรุขระ ในการรักษาทางการแพทย์มีหลากหลายวิธี แต่วิธีที่นิยมใช้กันมากที่สุด ได้แก่ การเลเซอร์รักษาหลุมสิว การฉีดสารเติมเต็มอย่างฟิลเลอร์ การผ่าตัดพังผืด การฉีดเมโส สำหรับผู้ที่มีปัญหา หน้าเป็นหลุม ไม่สามารถรักษาเองได้ ควรพบแพทย์ เพื่อรักษาให้ถูกวิธีเท่านั้นถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน
หากใครที่มีปัญหาหลุมสิว และยังมีปัญหารอยจุดด่างดำจากสิว ก็สามารถใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มลดฝ้า กระ ได้เช่นกัน ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินที่ทำให้ผิวคล้ำขึ้น ที่จะกลายมาเป็นรอยจุดด่างดำได้ (คลิกอ่านต่อที่นี่)
สำหรับรีวิวหัตถการความงามอื่น ๆ สามารถติดตามบทความได้ที่นี่ คลิกเลย
ขอบคุณข้อมูลจาก