เชื่อว่าหลายคนกำลังประสบกับปัญหาผมขาดหลุดร่วง จนทำให้ผมบางลงไม่รู้ตัว ด้วยพฤติกรรมจากการโดนสารเคมีทำร้าย หรือเกิดเชื้อราบนหนังศีรษะ รากผมจึงหลุดร่วงได้ง่ายกว่าปกติ ทำให้หลายคนแก้ปัญหาด้วยปลายเหตุจากการเปลี่ยนแชมพูอยู่บ่อย ๆ
แต่รู้หรือไม่ว่าการเปลี่ยนแชมพูไม่ได้ช่วยเรื่องผมร่วงได้ 100% แถมเปลี่ยนบ่อยก็ยิ่งทำให้เกิดรังแคตามมาอีกด้วย ตัวช่วยอย่างวิตามินแก้ผมร่วง จะช่วยบำรุงผม ไปยันรากของเส้นผมให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง หากใครไม่รู้ว่าจะทานวิตามินบำรุงผมตัวไหนดี Buyer Choice รวบรวมมาให้คุณแล้วในบทความนี้ อ่านเลย
Nectahair จาก Nectapharma วิตามินแก้ผมร่วง จบปัญหาผมบาง ทั้งจากกรรมพันธุ์ ความเครียด ขาดสารอาหาร ฮอร์โมน และยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้เส้นผมอีกด้วย ด้วยส่วนผสมสารสำคัญถึง 6 ตัวด้วยกัน
ไม่ว่าจะเป็นสารสกัดจากถั่วเหลือง คอลลาเจนจากปลาทะเลของญี่ปุ่น หรือหญ้าหางม้าที่มี Silica ช่วยลดผมร่วง พร้อมบำรุงเส้นผมให้กลับมาดูสุขภาพดี อีกทั้งช่วยเสริมแร่ธาตุและวิตามินต่าง ๆ รวมถึงกรดอะมิโนที่ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผมอีกด้วย
วิธีรับประทาน : รับประทานครั้งละ 2 เม็ด ก่อนนอน
ปริมาณ 30 เม็ด ราคาประมาณ 1,490 บาท
ทางลัดไปสู่ร้านค้า คลิกเลย
วิตามินบำรุงเส้นผม Dr.Pong ANA-X 30 เป็นอาหารเสริมของคนที่ต้องการบำรุงเส้นผมให้มีน้ำหนัก เกิดความเงางาม และยังมีส่วนผสมของสารสกัด Annurca apple ที่ช่วยลดผมร่วง และเพิ่มจำนวนเส้นผมให้มีความหนามากกว่าเดิม
พร้อมช่วยยืดระยะเวลาเจริญเติบโต Anagen phase ช่วยให้ผมมีระยะในการเจริญเติบโต น้อยกว่าระยะหลุดร่วงของเส้นผมนั่นเอง และยังมีส่วนผสมของสนหางม้าและเมล็ดแฟลกซ์ ที่จะช่วยยับยั้งไม่ให้เส้นผมขาดหลุดร่วงได้ง่ายอีกด้วย
วิธีรับประทาน : รับประทานครั้งละ 2 แคปซูล หลังอาหารเช้า
ปริมาณ 30 เม็ด ราคาประมาณ 1,000 บาท
ทางลัดไปสู่ร้านค้า คลิกเลย
วิตามินบำรุงผม ยี่ห้อไหนดี | Smooth Life 3in1 HSN Vitamin
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากแบรนด์ Smooth Life ที่ทำวิตามินออกมาในรูปแบบ 3 in 1 เพราะทางแบรนด์เน้นใส่ใจเรื่องส่วนผสมของสารสกัดเป็นหลัก โดยผลิตภัณฑ์บำรุงผมนี้มีส่วนผสมของ ZincaCC ช่วยลดฮอร์โมนที่จะนำไปสู่อาการผมร่วง
และมี Biotin ที่ตอบโจทย์ไม่เพียงแต่จะเป็นวิตามินแก้ผมร่วงเท่านั้น เพราะยังช่วยเรื่องผิวให้มีความเปล่งปลั่ง และเล็บที่แข็งแรงอีกด้วย ทั้งนี้ยังส่วนผสมของหญ้าหางม้า Taurine ซึ่งเป็นโครงสร้างกรดอะมิโนที่สำคัญให้กับร่างกายอีกด้วย
วิธีรับประทาน : รับประทานวันละ 1 แคปซูล
ปริมาณ 30 เม็ด ราคาประมาณ 650 บาท
ทางลัดไปสู่ร้านค้า คลิกเลย
วิตามินบำรุงผม ยี่ห้อไหนดี | Blackmores Biotin H+
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Blackmores Biotin H+ วิตามินแก้ผมร่วง และบำรุงเส้นผมให้กลับมาแข็งแรง ดูเงางาม ขจัดปัญหาผมล้านก่อนวัย เพราะด้วยสารสกัดที่ทาง Blackmores เน้นเลือกใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ
ไม่ว่าจะเป็นชาขาว มิลเลท ฮอสเทล สาหร่ายเคลป์แห้ง และสารสกัดจากพริก เสริมด้วยไบโอตินแก้ผมร่วง ให้รากผมแข็งแรงมากยิ่งขึ้น อีกทั้งประกอบไปด้วยวิตามิน C วิตามิน E ช่วยต้านอนุมูลอิสระให้กับร่างกายอีกด้วย
วิธีรับประทาน : รับประทานพร้อมอาหารวันละ 1 เม็ด
ปริมาณ 30 เม็ด ราคาประมาณ 785 บาท
ทางลัดไปสู่ร้านค้า คลิกเลย
วิตามินบำรุงผม ยี่ห้อไหนดี | PHYTO PHANERE
PHYTO PHANERE วิตามินบำรุงผม สินค้าขายดีจากประเทศฝรั่งเศส เพราะนอกจากจะช่วยเรื่องผม ยังช่วยเรื่องเล็บอีกด้วย ด้วยสารสกัดจากน้ำมันจมูกข้าวสาลี บริเวอร์ยีสต์ ที่จะเข้าไปซ่อมแซมและลดปัญหาผมร่วง การเปราะหักของเล็บ
อีกทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามินต่าง ๆ ทั้งวิตามิน A วิตามิน B วิตามิน C วิตามิน E และ Zinc เพื่อให้สุขภาพของเส้นผมกลับมามีชีวิตชีวา ดูเงางาม และดกหนาขึ้น อีกทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณและขนตาให้ดูหนามากขึ้นอีกด้วย
วิธีรับประทาน : รับประทานพร้อมอาหารวันละ 2 เม็ด
ปริมาณ 120 เม็ด ราคาประมาณ 1,050 บาท
ทางลัดไปสู่ร้านค้า คลิกเลย
วิตามินบำรุงผม ยี่ห้อไหนดี | VISTRA REGOW
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม วิตามินแก้ผมร่วงจากแบรนด์ Vistra Regow เป็นตัวช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้ผมกลับมาดูหนาอีกครั้ง ด้วยสารสกัดเมล็ดแฟลกซ์ และสนหางม้า มีคุณสมบัติช่วยลดอาการผมร่วง และบำรุงเส้นผมให้ดูเงางามมากยิ่งขึ้น
อีกทั้งยังอุดมไปด้วยแอล-เมไธโอนีน วิตามินเอ วิตามินอี กรดอะมิโน กรดโฟลิก และ biotin ช่วยเสริมพลังในการแก้ปัญหาผมร่วงได้เป็นอย่างดี มอบเส้นผมที่สุขภาพดีตั้งแต่ภายในสู่ภายนอก
วิธีรับประทาน : รับประทานครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า-เย็น
ปริมาณ 30 เม็ด ราคาประมาณ 460 บาท
ทางลัดไปสู่ร้านค้า คลิกเลย
วิตามินบำรุงผม ยี่ห้อไหนดี| Zenji Hari
วิตามินบำรุงรากผม อาหารเสริมจากแบรนด์ Zenji Hari ตัวช่วยเสริมสร้างเส้นผมที่แข็งแรงจากภายใน ให้เส้นผมกลับมาดูหนาและเงางามอีกครั้ง ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น
วิธีรับประทาน : รับประทานครั้งละ 1 - 2 เม็ด ก่อนอาหารเช้า หรือ ก่อนนอน
ปริมาณ 30 เม็ด ราคาประมาณ 399 บาท
ทางลัดไปสู่ร้านค้า คลิกเลย
วิตามินบำรุงผม ยี่ห้อไหนดี | InterCare Biotin z+ และ InterCare Zinc+
เป็นการจับคู่สูตรใหม่ของแบรนด์ InterCare นำเข้าจากประเทศเยอรมัน คือ Biotin z+ บำรุงเส้นผม ด้วยดีไบโอตินที่ดูดซึมง่ายกว่าปกติ จับคู่กับ Zinc+ ซิงก์สกัดและวิตามินรวม
เป็นวิตามินแก้ผมร่วง บำรุงผม และยังเสริมสร้างคุณประโยชน์ให้กับร่างกายให้มีผิวที่สุขภาพดี ลดรอยดำจากสิว นอกจากนี้ยังอุดมไปวิตามินบี 7 ตัวช่วยเสริมสร้างโครงสร้างของเคราติน ให้รากผมกลับมาแข็งแรงมากขึ้น
วิธีรับประทาน : รับประทานครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า
ปริมาณ 30 เม็ด (ต่อกระปุก) ราคาประมาณ 599 บาท
ทางลัดไปสู่ร้านค้า คลิกเลย
วิตามินบำรุงผม ยี่ห้อไหนดี | Nuriv Koatsive-H
อาหารเสริมบำรุงรากผมจากแบรนด์ Nuriv Koatsive-H ตัวช่วยกระตุ้นให้เส้นผมเกิดใหม่ ลดปัญหาผมขาด หลุดร่วง ผมบางที่กำลังเป็นอยู่ ด้วยสารสกัด Zinc ตัวควบคุมต่อมไขมันของหนังศีรษะ ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหารากผมอ่อนแอลง ลดหนังศีรษะมัน
และยังมีสารสกัดจากหญ้าหางม้า ไอโซเลตซอยโปรตีน สารสกัดอะเซโรลาเชอร์รี่ รวมไปถึงได้รับวิตามินอี และวิตามินบี 3,5,7 รวมส่วนผสมเป็นวิตามินแก้ผมร่วง ที่จะช่วยให้หนังศีรษะกลับมาแข็งแรงอีกครั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีรับประทาน : รับประทานครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า
ปริมาณ 30 เม็ด ราคาประมาณ 690 บาท
ทางลัดไปสู่ร้านค้า คลิกเลย
วิตามินบำรุงผม ยี่ห้อไหนดี | Solve Hair H Regro Day และ Night
วิตามินบำรุงเส้นผมจาก Solve Hair อีกหนึ่งแบรนด์ที่ทำคู่เซตออกมาให้รับประทานกันสองเวลาทั้ง Hair H Regro Day และ Night ที่รวมวิตามินทั้งหมด 24 ชนิด เพื่อลดปัญหาผมร่วง และกระตุ้นเส้นผมใหม่ให้เกิดขึ้น ช่วยสร้างรากผมใหม่ที่แข็งแรงกว่าเดิม
โดยสารสกัดของ Day และ Night จะต่างกันออกไป เพราะคัดสรรส่วนผสมและปรุงสูตรมาให้เหมาะกับแต่ละช่วงเวลาที่ควรทาน ด้วยคุณสมบัติที่จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้เส้นผมได้เป็นอย่างดี ช่วยปกป้องเส้นผมจากปัญหาความเครียด กรรมพันธุ์ หรือฮอร์โมนก็ตามที
วิธีรับประทาน : รับประทานครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า และก่อนนอน
ปริมาณ 30 เม็ด (ต่อกระปุก) ราคาประมาณ 1,890 บาท
ทางลัดไปสู่ร้านค้า คลิกเลย
อย่างไรก็ตามที ปัญหาผมขาดหลุดร่วงของหนังศีรษะ เกิดจากฮอร์โมนในร่างกายของเราเปลี่ยนไป ทำให้ต่อมไขมันเกิดการทำงานที่ผิดปกติ วิตามินแก้ผมร่วงเป็นส่วนที่จะเข้าไปซ่อมแซมจากภายใน เพื่อให้รากผมกลับมาแข็งแรงมากขึ้น แต่การรักษาเส้นผมภายนอกก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน
ดังนั้นจึงควรดูแลรักษาความสะอาดให้ดี การหมั่นสระผมบ่อย ๆ ไม่ปล่อยให้หนังศีรษะมันจนเกินไป ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน